10.1 ทั่วไป
สำหรับการติดตั้งนอกจากจะต้องดำเนินการตามมารตรฐานนี้แล้วยังต้องติดตั้งตามข้อกำหนดและระเบียบในการติดตั้งที่ถือปฎิบัติในแต่ละท้องที่อีกด้วย
10.1.1 การเดินสายสัญญาณแนวราบและสายสัญญาณหลัก
ควรจะเริ่มประเมินว่าจะติดตั้งสายสัญญาณได้ถูกต้องตามแบบที่ได้กำหนดไว้ และความเค้นในสายควรจะมีน้อยที่สุด (ความเค้นเกิดจากแรงดึงในการดึงและขึงสายสัญญาณ ในการติดดตั้งหรือการรัดสายเนื่องจากการมัดสาย) สายรัดสายสัญญาณที่ใช้รัดรวมสายสัญญาณควรจะรัดให้หลวมพอที่สายสัญญาณจะสามารถเลื่อนไปตามสายได้บ้าง ไม่ควรจะรัดจนสายเสียรูปไป (ต้องศึกษาข้อกำหนดการติดตั้งและกฎระเบียบก่อนการติดตั้ง)
10.2 สายตีเกลียว 100 โอห์ม (สายยูทีพี : สายตีเกลียวไม่มีชิลด์) หรือสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์)
10.2.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุด
รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายสัญญาณจะขึ้นอยู่กับสภาพของสายสัญญาณขณะที่ทำการติดตั้งคือมีแรงดึงมากระทำกับสายสัญญาณ และภายหลังการติดตั้งคือสายสัญญาณอยู่นิ่งไม่มีแรงกระทำกับสายสัญญาณ
10.2.1.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายสัญญาณ
รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดเมื่อไม่มีแรงมากระทำของสายยูทีพี (สายตีเกลียว ไม่มีชิลด์) ต้องไม่น้อยกว่า 4 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณ และไม่น้อยกว่า 8 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยส์)
10.2.1.2 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของระบบสัญญาณหลัก
รัศมีความโค้งงอที่่ต่ำที่สุดเมื่อไม่มีแรงมากระทำสำหรับสายสัญญาณหลักแบบหลายคู่ ต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณ
10.2.1.3 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายต่อเชื่อม
ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา
10.2.2 แรงดึงสูงสุด
แรงดึงสูงสุดสำหรับสายยูทีพี (สายตีเกลียวไม่มีชิลด์) ขนาด AWG จะต้องไม่เกิน 110 N (25 lbf) สำหรับสายสัญญาณหลักแบบหลายคู่ให้ปฎิบัติตามคำแนะนำจากผู้ผลิตสายสัญญาณ
10.2.3 การต่อปลายสายสัญญาณด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณจะต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อเป็นขั้วต่อ หรือแผงกระจายสายทั้งตัวเมียคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ที่มีแคททีกอรี (Category) เดียวกัน หรือสูงกว่าเพราะประสิทธิภาพของสายสัญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายสัญญาณ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการเลือกแคททีกอรีขั้วต่อ, สายต่อเชื่อมและสายต่อครอส ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้มีผลทำให้ประสิทธิภาพของระบบมีค่าลดลงดังนั้นในการติดตั้งจริงจึงควรพิจารณาถึงการเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณ, การจัดการระบบสายสัญญาณ การต่อครอส สายเชื่อมต่อและการที่มีจุดต่อสายหลายจุดด้วยการรักษาสภาพของสายสัญญาณให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยที่สุดในขณะที่ทำการเชื่อมต่อสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อก็มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบสายสัญญาณ ดังนั้นการปอกเปลือกหรือคลายเกลียวของสายเกลียวควรจะทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น(สำหรับการเชื่อมต่อแบบสตลิบแบ็คต้องทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต) เช่นสายสัญญาณ CAT 5e หรือสูงกว่าสามารถคลายเกลียวได้ไม่เกิน 13 มิลลิเมตร (0.5 นิ้ว) จากปลายสาย,สายสัญญาณ CAT 3 สามารถคลายเกลียวได้ไม่เกิน 75 มิลลิเมตร 3 นิ้ว จากปลายสาย ซึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณ กับอุปกรณ์เชื่อมต่อยิ่งคลายเกลียวน้อยเท่าไรก็จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ
10.2.4 สายต่อเชื่อม, สายเชื่อมอุปกรณ์, สายเชื่อมต่อกับเต้ารับ ณ จุดใช้งานและสายย้ำ
สายสัญญาณและสายครอสคอนแนคที่ใช้เป็นสายต่อเชื่อมจะต้องมีสมรรถนะเดียวกันหรือสูงกว่าระบบสายสัญญาณในแนวราบที่จะทำการเชื่อมต่อ สำหรับสายต่อเชื่อมที่ใช้เป็นสายเชื่อมอุปกรณ์ไม่ควรเป็นสายที่ทำการเข้าสายที่จุดใช้งาน ควรจะเป็นสายที่ทำสำเร็จจากโรงงานเพื่อค่าการสูญเสียย้อนกลับมีผลกับประสิทธิภาพของระบบน้อยที่สุด
10.2.5 การต่อลงดินของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 100 โอห์ม
เมื่อทำการเช่อมต่อสายเอสซีทีพี สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์ กับอุปกรณ์เชื่อมต้องต่อเชื่อมต่อสายเดรนเข้ากับอุปกรณ์เชื่อมต่อตามวิธีการของผู้ผลิต ส่วนอุปกร์เชื่อมต่อที่จุดต่อครอสต้องต่อลงดินตามมารตรฐาน ANSI/TIA/EIA-607
10.3 ระบบสายใยแก้วนำแสง
10.3.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดและแรงดึงสูงสุด
สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ 2 และ 4 ใยแก้วเมื่อไม่มีแรงมากระทำจะมีรัศมีความโค้งงอต่ำสุดต้องไใาน้อยกว่า 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) และเมื่อมีแรงดึงสูงสุด 222 นิวตัน ( 50 lbf) รัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตร ( 2 นิ้ว)
สายใยแก้วนำแสงที่เป็นายสัญญาณหลักต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด ถ้าไม่ทราบให้มีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อไม่มีแรงมากระทำ และต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 15 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อมีแรงมากระทำ
สายใยแก้วนำแสงที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างอาคารต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด ถ้าไม่ทราบให้มีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อไม่มีแรงมากระทำ และต้องมีรัสมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อมีแรงมากระทำโดยปกติจะไม่เกิน 2670 นิวตัน (600 lbf)
10.3.2 การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อจะมีสองวิธีคือตามข้อกำหนด 568SC หรือการวางตำแหน่งแบบกลับคู่
การทำตามข้อกำหนด 568SC จะต้องกำหนดหมายเลขของสายใยแก้วนำแสงทั้งสองด้าน ( เช่น 1,2,3, ....) เส้นที่เป็นเลขคี่จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เชื่อมต่อด้านหนึ่งในตำแหน่ง A ส่วนอีกด้านเข้าที่ตำแหน่ง B เส้นที่เป็นเลขคู่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์เชื่อมต่อด้านหนึ่งที่ตำแหน่ง B ส่วนอีกด้านหนึ่งเข้าที่ตำแหน่ง A ( เช่นที่ด้นแรก A-B, A-B, A-B,.........อีกด้านหนึ่งจะเป็น B-A, B-A, B-A,.......)ดังแสดงในรูปที่ 10
การวางตำแหน่งแบบกลับคู่จะมีการเรียงสายใยแก้วนำแสงที่ด้านหนึ่งปกติ ( เช่น 1,2,3,4,.....) ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเรียงแบบสลับคู่ (เช่น 2,1,4,3......)
ในรูปที่ 11 จะแสดงรูปแบบการใช้ตัวแปลงตามข้อกำหนด 568SC ที่ทำการเชื่อมต่อที่จุดเชื่อมต่อครอสสายหลัก, จุดต่อครอสระหว่างกลางและการต่อครอสแนวราบ และจะต้องแน่ใจว่าการเชื่อมต่ออุปกรณ์เชื่อมต่อกับสายใยแก้วนำแสง ด้านหนึ่งต้องเป็นแบบ A-B ส่วนอีกด้านต้องเป็นแบบ B-A
รูปที่ 10 : ระบบสายใยแก้วนำแสงที่กำหนดไว้สำหรับขั้วที่ถูกต้อง (อุปกรณ์แบบติดตั้ง)
รูปที่ 11 : ผังระบบสายใยแก้วนำแสงสำหรับระบบสายสัญญาณภายในอาคาร
10.3.3 สายต่อเชื่อม, สายเชื่อมอุปกรณ์ , สายเชื่อมต่อเต้ารับ ณ จุด ใช้งาน และสายย้ำ
สายเชื่อมต่อระบบสายใยแก้วนำแสงจะประกอบด้วยสายใยแก้วนำแสง 2 เส้นซึ่งทั้งสองเส้นนี้จะต้องเป็นโหมดเดียวกัน และเมื่อใช้เป็นสายเชื่อมอุปกรณ์จจะต้องให้ขั้วต่อด้านที่เป็น A ต่อกับ B และ B ต่อกับ A
รูปที่ 12 : ชุดต่อสายใยแก้วนำแสง 568SC
10.4 ระบบสายสัญญาณสายเอสซีทีพี (สายเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม
10.4.1 รัศมีความโค้งงอต่ำที่สุด
รัศมีความโค้งงอต่ำที่สุดของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม ที่ไม่มีแรงมากระทำ เมื่อใช้ติดตั้งแบบนอลพลีนัมจะมีรัศมีความโค้งงงอต่ำสุดไม่น้อยกว่า 75 มิลลิเมตร ( 3 นิ้ว) และเมื่อติดตั้งแบบพลีนัมจะมีรัศมีความโค้งงอต่ำสุดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิเมตร (6 นิ้ว)
10.4.2 แรงดึงดูด
แรงดึงสูงสุดของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม จะต้องไม่เกิน 244 นิวตัน (55 lbf)
10.4.3 การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) จะต้องเชื่อมต่อชิลด์กับอุปกรณ์เชื่อมต่อตามวิธีของผู้ผลิต สำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่อยู่บริเวณจุดต่อครอสจะต้องต่อลงดินตามข้อกำหนด ANSI/TIA/EIA-607
สำหรับการติดตั้งนอกจากจะต้องดำเนินการตามมารตรฐานนี้แล้วยังต้องติดตั้งตามข้อกำหนดและระเบียบในการติดตั้งที่ถือปฎิบัติในแต่ละท้องที่อีกด้วย
10.1.1 การเดินสายสัญญาณแนวราบและสายสัญญาณหลัก
ควรจะเริ่มประเมินว่าจะติดตั้งสายสัญญาณได้ถูกต้องตามแบบที่ได้กำหนดไว้ และความเค้นในสายควรจะมีน้อยที่สุด (ความเค้นเกิดจากแรงดึงในการดึงและขึงสายสัญญาณ ในการติดดตั้งหรือการรัดสายเนื่องจากการมัดสาย) สายรัดสายสัญญาณที่ใช้รัดรวมสายสัญญาณควรจะรัดให้หลวมพอที่สายสัญญาณจะสามารถเลื่อนไปตามสายได้บ้าง ไม่ควรจะรัดจนสายเสียรูปไป (ต้องศึกษาข้อกำหนดการติดตั้งและกฎระเบียบก่อนการติดตั้ง)
10.2 สายตีเกลียว 100 โอห์ม (สายยูทีพี : สายตีเกลียวไม่มีชิลด์) หรือสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์)
10.2.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุด
รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายสัญญาณจะขึ้นอยู่กับสภาพของสายสัญญาณขณะที่ทำการติดตั้งคือมีแรงดึงมากระทำกับสายสัญญาณ และภายหลังการติดตั้งคือสายสัญญาณอยู่นิ่งไม่มีแรงกระทำกับสายสัญญาณ
10.2.1.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายสัญญาณ
รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดเมื่อไม่มีแรงมากระทำของสายยูทีพี (สายตีเกลียว ไม่มีชิลด์) ต้องไม่น้อยกว่า 4 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณ และไม่น้อยกว่า 8 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยส์)
10.2.1.2 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของระบบสัญญาณหลัก
รัศมีความโค้งงอที่่ต่ำที่สุดเมื่อไม่มีแรงมากระทำสำหรับสายสัญญาณหลักแบบหลายคู่ ต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายสัญญาณ
10.2.1.3 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายต่อเชื่อม
ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา
10.2.2 แรงดึงสูงสุด
แรงดึงสูงสุดสำหรับสายยูทีพี (สายตีเกลียวไม่มีชิลด์) ขนาด AWG จะต้องไม่เกิน 110 N (25 lbf) สำหรับสายสัญญาณหลักแบบหลายคู่ให้ปฎิบัติตามคำแนะนำจากผู้ผลิตสายสัญญาณ
10.2.3 การต่อปลายสายสัญญาณด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณจะต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อเป็นขั้วต่อ หรือแผงกระจายสายทั้งตัวเมียคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ที่มีแคททีกอรี (Category) เดียวกัน หรือสูงกว่าเพราะประสิทธิภาพของสายสัญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายสัญญาณ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการเลือกแคททีกอรีขั้วต่อ, สายต่อเชื่อมและสายต่อครอส ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้มีผลทำให้ประสิทธิภาพของระบบมีค่าลดลงดังนั้นในการติดตั้งจริงจึงควรพิจารณาถึงการเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณ, การจัดการระบบสายสัญญาณ การต่อครอส สายเชื่อมต่อและการที่มีจุดต่อสายหลายจุดด้วยการรักษาสภาพของสายสัญญาณให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยที่สุดในขณะที่ทำการเชื่อมต่อสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อก็มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบสายสัญญาณ ดังนั้นการปอกเปลือกหรือคลายเกลียวของสายเกลียวควรจะทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น(สำหรับการเชื่อมต่อแบบสตลิบแบ็คต้องทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต) เช่นสายสัญญาณ CAT 5e หรือสูงกว่าสามารถคลายเกลียวได้ไม่เกิน 13 มิลลิเมตร (0.5 นิ้ว) จากปลายสาย,สายสัญญาณ CAT 3 สามารถคลายเกลียวได้ไม่เกิน 75 มิลลิเมตร 3 นิ้ว จากปลายสาย ซึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณ กับอุปกรณ์เชื่อมต่อยิ่งคลายเกลียวน้อยเท่าไรก็จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ
10.2.4 สายต่อเชื่อม, สายเชื่อมอุปกรณ์, สายเชื่อมต่อกับเต้ารับ ณ จุดใช้งานและสายย้ำ
สายสัญญาณและสายครอสคอนแนคที่ใช้เป็นสายต่อเชื่อมจะต้องมีสมรรถนะเดียวกันหรือสูงกว่าระบบสายสัญญาณในแนวราบที่จะทำการเชื่อมต่อ สำหรับสายต่อเชื่อมที่ใช้เป็นสายเชื่อมอุปกรณ์ไม่ควรเป็นสายที่ทำการเข้าสายที่จุดใช้งาน ควรจะเป็นสายที่ทำสำเร็จจากโรงงานเพื่อค่าการสูญเสียย้อนกลับมีผลกับประสิทธิภาพของระบบน้อยที่สุด
10.2.5 การต่อลงดินของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 100 โอห์ม
เมื่อทำการเช่อมต่อสายเอสซีทีพี สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์ กับอุปกรณ์เชื่อมต้องต่อเชื่อมต่อสายเดรนเข้ากับอุปกรณ์เชื่อมต่อตามวิธีการของผู้ผลิต ส่วนอุปกร์เชื่อมต่อที่จุดต่อครอสต้องต่อลงดินตามมารตรฐาน ANSI/TIA/EIA-607
10.3 ระบบสายใยแก้วนำแสง
10.3.1 รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดและแรงดึงสูงสุด
สำหรับสายใยแก้วนำแสงแบบ 2 และ 4 ใยแก้วเมื่อไม่มีแรงมากระทำจะมีรัศมีความโค้งงอต่ำสุดต้องไใาน้อยกว่า 25 มิลลิเมตร (1 นิ้ว) และเมื่อมีแรงดึงสูงสุด 222 นิวตัน ( 50 lbf) รัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 50 มิลลิเมตร ( 2 นิ้ว)
สายใยแก้วนำแสงที่เป็นายสัญญาณหลักต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด ถ้าไม่ทราบให้มีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อไม่มีแรงมากระทำ และต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 15 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อมีแรงมากระทำ
สายใยแก้วนำแสงที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างอาคารต้องมีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด ถ้าไม่ทราบให้มีรัศมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 10 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อไม่มีแรงมากระทำ และต้องมีรัสมีความโค้งงอต้องไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของสายสัญญาณเมื่อมีแรงมากระทำโดยปกติจะไม่เกิน 2670 นิวตัน (600 lbf)
10.3.2 การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อจะมีสองวิธีคือตามข้อกำหนด 568SC หรือการวางตำแหน่งแบบกลับคู่
การทำตามข้อกำหนด 568SC จะต้องกำหนดหมายเลขของสายใยแก้วนำแสงทั้งสองด้าน ( เช่น 1,2,3, ....) เส้นที่เป็นเลขคี่จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เชื่อมต่อด้านหนึ่งในตำแหน่ง A ส่วนอีกด้านเข้าที่ตำแหน่ง B เส้นที่เป็นเลขคู่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์เชื่อมต่อด้านหนึ่งที่ตำแหน่ง B ส่วนอีกด้านหนึ่งเข้าที่ตำแหน่ง A ( เช่นที่ด้นแรก A-B, A-B, A-B,.........อีกด้านหนึ่งจะเป็น B-A, B-A, B-A,.......)ดังแสดงในรูปที่ 10
การวางตำแหน่งแบบกลับคู่จะมีการเรียงสายใยแก้วนำแสงที่ด้านหนึ่งปกติ ( เช่น 1,2,3,4,.....) ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเรียงแบบสลับคู่ (เช่น 2,1,4,3......)
ในรูปที่ 11 จะแสดงรูปแบบการใช้ตัวแปลงตามข้อกำหนด 568SC ที่ทำการเชื่อมต่อที่จุดเชื่อมต่อครอสสายหลัก, จุดต่อครอสระหว่างกลางและการต่อครอสแนวราบ และจะต้องแน่ใจว่าการเชื่อมต่ออุปกรณ์เชื่อมต่อกับสายใยแก้วนำแสง ด้านหนึ่งต้องเป็นแบบ A-B ส่วนอีกด้านต้องเป็นแบบ B-A
รูปที่ 11 : ผังระบบสายใยแก้วนำแสงสำหรับระบบสายสัญญาณภายในอาคาร
10.3.3 สายต่อเชื่อม, สายเชื่อมอุปกรณ์ , สายเชื่อมต่อเต้ารับ ณ จุด ใช้งาน และสายย้ำ
สายเชื่อมต่อระบบสายใยแก้วนำแสงจะประกอบด้วยสายใยแก้วนำแสง 2 เส้นซึ่งทั้งสองเส้นนี้จะต้องเป็นโหมดเดียวกัน และเมื่อใช้เป็นสายเชื่อมอุปกรณ์จจะต้องให้ขั้วต่อด้านที่เป็น A ต่อกับ B และ B ต่อกับ A
รูปที่ 12 : ชุดต่อสายใยแก้วนำแสง 568SC
10.4 ระบบสายสัญญาณสายเอสซีทีพี (สายเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม
10.4.1 รัศมีความโค้งงอต่ำที่สุด
รัศมีความโค้งงอต่ำที่สุดของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม ที่ไม่มีแรงมากระทำ เมื่อใช้ติดตั้งแบบนอลพลีนัมจะมีรัศมีความโค้งงงอต่ำสุดไม่น้อยกว่า 75 มิลลิเมตร ( 3 นิ้ว) และเมื่อติดตั้งแบบพลีนัมจะมีรัศมีความโค้งงอต่ำสุดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิเมตร (6 นิ้ว)
10.4.2 แรงดึงดูด
แรงดึงสูงสุดของสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 150 โอห์ม จะต้องไม่เกิน 244 นิวตัน (55 lbf)
10.4.3 การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อปลายสายสัญญาณกับอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับสายเอสซีทีพี (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) จะต้องเชื่อมต่อชิลด์กับอุปกรณ์เชื่อมต่อตามวิธีของผู้ผลิต สำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อที่อยู่บริเวณจุดต่อครอสจะต้องต่อลงดินตามข้อกำหนด ANSI/TIA/EIA-607
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น