11.3.1 วัตถุประสงค์
ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงเกณฑ์ประสิทธิภาพต่ำสุุดของสายใยแก้วนำแสงที่แนะนำและมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำวิธีการทดสอบสายสัญญาณเวลาติดตั้งและค่าที่ใช้ในการทดสอบ รวมถึงการเดินสายซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบและระบบสายสัญญาณหลัก
11.3.2 เส้นทางการเชื่อมต่อ
เส้นทางการเชื่อมต่อของระบบสายใยแก้วนำแสงคือระบบสายสัญญาณแบบพาสซีฟซึ่งรวมถึงสายสัญญาณ ขั้วต่อและจุดสไปซ์ (ถ้ามี) สำหรับการเชื่อมต่อแนวราบคือการเชื่อมต่อจากเต้ารบไปยังจุดต่อครอสแนวราบส่วนการเชื่อมต่อของระบบสายสัญญาณหลักจะมีการเชื่อมต่อสามแบบคือจากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลาง,จากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสแนวราบ และจุดต่อครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสแนวราบ นอกจากนี้ระบบสายใยแก้วนำแสงแบบรวมศูนย์เป็นการเชื่อมต่อจากเต้ารับไปยังจุดต่อครอสรวมศูนย์โดยจะมีการติดตั้งด้วยการสไปซ์หรือการติดตั้งสายตรงที่กระทำในห้องเชื่อมต่อระบบสายสัญญาณสื่อสารรูปที่ 17 จะแสดงการเชื่อมสายใยแก้วนำแสงสองเส้นเข้าด้วยกัน และรูปแบบการทดสอบสายใยแก้วนำแสงโดยใช้สายเชื่อมต่อในการเชื่อม
หมายเหตุ : 1. กำลังแสงที่มีอยู่ (optical power budget) ที่ระบุในมาตรฐานการใช้งาน เช่น FDDI, 10BASE-F และอื่่นๆ ได้รวมการสูญเสียทางแสงของขั้วต่อที่อินเตอร์เฟซบริภัณฑ์ไว้แล้ว
2. ถ้าเส้นทางสื่อของระบบที่ต้องการสร้างจาก อนุกรม (concatenation) ของช่วงเส้นทางสื่อพาสซีฟสองช่วงหรือมากกว่า กล่าวคือ ชุดต่อสายเชื่อมไขว้ที่เชื่อมจุดต่อไขว้เข้าด้วยกัน การลดทอนสัญญาณที่คาดไว้สำหรับเส้นทางสื่อระบบ คือ ผลรวมของ การลดทอนสัญญาณของช่วงเส้นทางพาสซีฟที่ต่ออนุกรมกัน
11.3.3 ประสิทธิภาพของเส้นทางการเชื่อมต่อ
ค่าพารามิเตอร์เดียวที่ใช้ในการทดสอบสำหรับสายใยแก้วนำแสงที่ติดตั้งแล้วคือค่า การลดทอนสัญญาณ สำหรับค่าแบนวิท (สำหรับมัลติโหมด) และค่าการจัดกระจายของแสง (สำหรับซิงเกิลโหมด) เป็นค่าที่สำคัญแต่เนื่องจากไม่มีผลในการติดตั้ง จึงควรจะตรวจสอบค่านี้จากผู้ผลิต การลดทอนสัญญาณสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบจะอยู่บนพื้นฐานของระยะทางสูงสุด 90 เมตร (295 ฟุต) ส่วนระบบสายสัญญาณหลักทั้งแบบซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดจะเป็นไปตามสมการในข่อ 11.3.3.4 โดยจะแบ่งตามชนิดของสายใยแก้วนำแสง,ชนิดของสายสัญญาณ,ความยาวคลื่น,ระยะทางของช่องสัญญาณและจำนวนจุดสไปซ์ กราฟแสดงการลดทอนสัญญาณได้แสดงไว้ในรูปที่ 18 และ 19
การลดทอนสัญญาณนอกจากจะปฎิบัติตามมาตรฐานนี้แล้วเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ในการทดสอบยังควรจะปฎบัติตามวิธี "one reference jumper method" ตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และ ANSI/TIA/EIA-526-7 วิธีที่ A.1
ในบางครั้งช่องสัญญาณสำหรับสายสัญญาณแบบมัลติโหมดมีขนาดสั้นและเกิดค่าการลดทอนที่มากกว่าที่คาดไว้อันเนื่องจากการสูญเสียกำลังไปกับโหมดที่มีกำลังสูงกว่า เพื่อเป็นการกำจัดการสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงควรจะพันสายย้ำรอบแกนกลมเกลี้ยงประมาณ 5 รอบก่อนทำการวัดโดยที่ตอนพันสายจะต้องไม่ให้สายทับซ้อนกัน ตารางที่ 16 จะบอกถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมเกลี้ยงที่ใช้กับขนาดแกนสายใยแก้วนำแสงแบบต่างๆ
ตารางที่ 16 เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมสำหรับขนาดของแกนเส้นใยนำแสงหลายโหมด
การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณจะรวมในส่วนของสายสัญญาณ, ขั้วต่อและจุดสไปซ์เท่านั้นไม่รวมอุปกรณ์พาสซีฟอื่นๆ เช่นสวิทซ์บายพาสแสง, คลัปเปอร์, อุปกรณ์ทวนสัญญาณหรือตัวขยายสัญญาณ เป็นต้น
11.3.3.1 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณแนวราบ
เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 90 เมตร (295 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการทดสอบสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 2.0 เดซิเบล ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสองด้วยคือ ที่บริเวณเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 90 เมตร (295 ฟุต)
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุออ่อนครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล
11.3.3.2 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับที่มีหลายเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล
11.3.3.2 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
สำหรับระบบสายสัญญาณหลักจะต้องมีการทดสอบอย่างน้อยหนึ่งทิศทางและจะทำการทดสอบทั้งสองความยาวคลื่นที่ใช้งานจริงโดยที่ทดสอบ 1310 นาโนเมตรและ 1550 นาโนเมตรสำหรับสายซิงเกิลโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA-526-7 วิธีที่ A.1 และทดสอบที่ 850 นาโนเมตรและ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA -526-14-A วิธีที่ B เนื่องด้วยสายสัญญาณหลักจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามพื้นที่ที่ทำการติดตั้ง ดังนั้นจะสามารถคิดค่าการลดทอนสัญญาณตามสมการที่ 16 ที่จะสามารถกำหนดได้ตามความยาวคลื่นที่ใช้งานจริง
11.3.3.3 การวัดประสิทธฺภาพสายสัญญาณแบบรวมศูนย์
เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 300 เมตร (984 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA- 526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3.3 เดซิเบล ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสามคู่ด้วยคือที่บริเวณเต้ารับ, จุดติดตั้งสายตรงที่ห้องเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารและจุดต่อครอสแบบรวมศูนย์ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 300 เมตร (984 ฟุต)
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 4.1 เดซิเบล
11.3.3.4 สมการและกราฟการลดทอนสัญญาณในช่องสัญญาณ
การลดทอนสัญญาณสามารถคำนวณได้จาก
การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณ (เดซิเบล)
= ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ +
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ +
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์
ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ (เดซิเบล)
= สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล/กิโลเมตร) x ระยะทาง (กิโลเมตร)
สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล)
3.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 850 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
1.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ (เดซิเบล)
= จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ x ค่าสูญเสียของขั่วต่อ (เดซิเบล)
ตัวอย่าง
= 2 x 0.75 (เดซิเบล)
= 1.5 (เดซิเบล)
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์
= จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยการสไปซ์ (จุด) x ค่าสูยเสียของการสไปซ์ (เดซิเบล)
ตัวอย่าง
= จุด x 0.3 (เดซิเบล)
การลดทอน (dB)
รูปที่ 18 : การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อระบบสายสัญญาณหลัก 62.5/125 ไมครอนเมตร และ 50/125 ไมครอนเมตร เทียบตามระยะทาง
ตัวอย่าง : 1. ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่าง
กลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.6 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโน เมตร
และ 2.0 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร
2. ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อ ครอสห
ลักยาว 2 กิโลเมตร (6560 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
และ 4.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร
รูปที่ 19 : การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อของระบบสายสัญญาณหลักซิงเกิลโหมดเทียบตามระยะทาง
ตัวอย่าง : 1. ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.8 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
1300 นาโนเมตร
2. ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสห
ลักยาว 3000 เมตร (9840 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.0 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
และ 1300 นาโนเมตร
ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงเกณฑ์ประสิทธิภาพต่ำสุุดของสายใยแก้วนำแสงที่แนะนำและมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำวิธีการทดสอบสายสัญญาณเวลาติดตั้งและค่าที่ใช้ในการทดสอบ รวมถึงการเดินสายซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบและระบบสายสัญญาณหลัก
11.3.2 เส้นทางการเชื่อมต่อ
เส้นทางการเชื่อมต่อของระบบสายใยแก้วนำแสงคือระบบสายสัญญาณแบบพาสซีฟซึ่งรวมถึงสายสัญญาณ ขั้วต่อและจุดสไปซ์ (ถ้ามี) สำหรับการเชื่อมต่อแนวราบคือการเชื่อมต่อจากเต้ารบไปยังจุดต่อครอสแนวราบส่วนการเชื่อมต่อของระบบสายสัญญาณหลักจะมีการเชื่อมต่อสามแบบคือจากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลาง,จากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสแนวราบ และจุดต่อครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสแนวราบ นอกจากนี้ระบบสายใยแก้วนำแสงแบบรวมศูนย์เป็นการเชื่อมต่อจากเต้ารับไปยังจุดต่อครอสรวมศูนย์โดยจะมีการติดตั้งด้วยการสไปซ์หรือการติดตั้งสายตรงที่กระทำในห้องเชื่อมต่อระบบสายสัญญาณสื่อสารรูปที่ 17 จะแสดงการเชื่อมสายใยแก้วนำแสงสองเส้นเข้าด้วยกัน และรูปแบบการทดสอบสายใยแก้วนำแสงโดยใช้สายเชื่อมต่อในการเชื่อม
หมายเหตุ : 1. กำลังแสงที่มีอยู่ (optical power budget) ที่ระบุในมาตรฐานการใช้งาน เช่น FDDI, 10BASE-F และอื่่นๆ ได้รวมการสูญเสียทางแสงของขั้วต่อที่อินเตอร์เฟซบริภัณฑ์ไว้แล้ว
2. ถ้าเส้นทางสื่อของระบบที่ต้องการสร้างจาก อนุกรม (concatenation) ของช่วงเส้นทางสื่อพาสซีฟสองช่วงหรือมากกว่า กล่าวคือ ชุดต่อสายเชื่อมไขว้ที่เชื่อมจุดต่อไขว้เข้าด้วยกัน การลดทอนสัญญาณที่คาดไว้สำหรับเส้นทางสื่อระบบ คือ ผลรวมของ การลดทอนสัญญาณของช่วงเส้นทางพาสซีฟที่ต่ออนุกรมกัน
11.3.3 ประสิทธิภาพของเส้นทางการเชื่อมต่อ
ค่าพารามิเตอร์เดียวที่ใช้ในการทดสอบสำหรับสายใยแก้วนำแสงที่ติดตั้งแล้วคือค่า การลดทอนสัญญาณ สำหรับค่าแบนวิท (สำหรับมัลติโหมด) และค่าการจัดกระจายของแสง (สำหรับซิงเกิลโหมด) เป็นค่าที่สำคัญแต่เนื่องจากไม่มีผลในการติดตั้ง จึงควรจะตรวจสอบค่านี้จากผู้ผลิต การลดทอนสัญญาณสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบจะอยู่บนพื้นฐานของระยะทางสูงสุด 90 เมตร (295 ฟุต) ส่วนระบบสายสัญญาณหลักทั้งแบบซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดจะเป็นไปตามสมการในข่อ 11.3.3.4 โดยจะแบ่งตามชนิดของสายใยแก้วนำแสง,ชนิดของสายสัญญาณ,ความยาวคลื่น,ระยะทางของช่องสัญญาณและจำนวนจุดสไปซ์ กราฟแสดงการลดทอนสัญญาณได้แสดงไว้ในรูปที่ 18 และ 19
การลดทอนสัญญาณนอกจากจะปฎิบัติตามมาตรฐานนี้แล้วเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ในการทดสอบยังควรจะปฎบัติตามวิธี "one reference jumper method" ตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และ ANSI/TIA/EIA-526-7 วิธีที่ A.1
ในบางครั้งช่องสัญญาณสำหรับสายสัญญาณแบบมัลติโหมดมีขนาดสั้นและเกิดค่าการลดทอนที่มากกว่าที่คาดไว้อันเนื่องจากการสูญเสียกำลังไปกับโหมดที่มีกำลังสูงกว่า เพื่อเป็นการกำจัดการสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงควรจะพันสายย้ำรอบแกนกลมเกลี้ยงประมาณ 5 รอบก่อนทำการวัดโดยที่ตอนพันสายจะต้องไม่ให้สายทับซ้อนกัน ตารางที่ 16 จะบอกถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมเกลี้ยงที่ใช้กับขนาดแกนสายใยแก้วนำแสงแบบต่างๆ
ตารางที่ 16 เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมสำหรับขนาดของแกนเส้นใยนำแสงหลายโหมด
ขนาดของแกนสายใยแก้ว
(ไมโครเมตร)
|
เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลม
สำหรับเส้นใยบัฟเฟอร์
(มม.นิ้ว)
|
เส้นผ่านศูนย์กลางของแกน
กลม (0.12 นิ้ว)
สำหรับเคเบิลที่มีแจ็กเก็ตมิติ
รวมขนาด 3 มม. (นิ้ว)
|
50
|
25(1.0)
|
22(0.9)
|
62.5
|
20(0.8)
|
17(0.7)
|
การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณจะรวมในส่วนของสายสัญญาณ, ขั้วต่อและจุดสไปซ์เท่านั้นไม่รวมอุปกรณ์พาสซีฟอื่นๆ เช่นสวิทซ์บายพาสแสง, คลัปเปอร์, อุปกรณ์ทวนสัญญาณหรือตัวขยายสัญญาณ เป็นต้น
11.3.3.1 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณแนวราบ
เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 90 เมตร (295 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการทดสอบสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 2.0 เดซิเบล ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสองด้วยคือ ที่บริเวณเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 90 เมตร (295 ฟุต)
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุออ่อนครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล
11.3.3.2 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับที่มีหลายเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล
11.3.3.2 การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
สำหรับระบบสายสัญญาณหลักจะต้องมีการทดสอบอย่างน้อยหนึ่งทิศทางและจะทำการทดสอบทั้งสองความยาวคลื่นที่ใช้งานจริงโดยที่ทดสอบ 1310 นาโนเมตรและ 1550 นาโนเมตรสำหรับสายซิงเกิลโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA-526-7 วิธีที่ A.1 และทดสอบที่ 850 นาโนเมตรและ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA -526-14-A วิธีที่ B เนื่องด้วยสายสัญญาณหลักจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามพื้นที่ที่ทำการติดตั้ง ดังนั้นจะสามารถคิดค่าการลดทอนสัญญาณตามสมการที่ 16 ที่จะสามารถกำหนดได้ตามความยาวคลื่นที่ใช้งานจริง
11.3.3.3 การวัดประสิทธฺภาพสายสัญญาณแบบรวมศูนย์
เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 300 เมตร (984 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA- 526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3.3 เดซิเบล ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสามคู่ด้วยคือที่บริเวณเต้ารับ, จุดติดตั้งสายตรงที่ห้องเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารและจุดต่อครอสแบบรวมศูนย์ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 300 เมตร (984 ฟุต)
สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 4.1 เดซิเบล
11.3.3.4 สมการและกราฟการลดทอนสัญญาณในช่องสัญญาณ
การลดทอนสัญญาณสามารถคำนวณได้จาก
การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณ (เดซิเบล)
= ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ +
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ +
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์
ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ (เดซิเบล)
= สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล/กิโลเมตร) x ระยะทาง (กิโลเมตร)
สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล)
3.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 850 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
1.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ (เดซิเบล)
= จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ x ค่าสูญเสียของขั่วต่อ (เดซิเบล)
ตัวอย่าง
= 2 x 0.75 (เดซิเบล)
= 1.5 (เดซิเบล)
ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์
= จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยการสไปซ์ (จุด) x ค่าสูยเสียของการสไปซ์ (เดซิเบล)
ตัวอย่าง
= จุด x 0.3 (เดซิเบล)
การลดทอน (dB)
รูปที่ 18 : การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อระบบสายสัญญาณหลัก 62.5/125 ไมครอนเมตร และ 50/125 ไมครอนเมตร เทียบตามระยะทาง
ตัวอย่าง : 1. ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่าง
กลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.6 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโน เมตร
และ 2.0 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร
2. ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อ ครอสห
ลักยาว 2 กิโลเมตร (6560 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
และ 4.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร
รูปที่ 19 : การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อของระบบสายสัญญาณหลักซิงเกิลโหมดเทียบตามระยะทาง
ตัวอย่าง : 1. ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.8 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
1300 นาโนเมตร
2. ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสห
ลักยาว 3000 เมตร (9840 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.0 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
และ 1300 นาโนเมตร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น