ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

11.3 ประสิทธิภาพของสายใยแก้วนำแสงและข้อกำหนดสำหรับการทดสอบภาคสนาม

11.3.1   วัตถุประสงค์
            ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงเกณฑ์ประสิทธิภาพต่ำสุุดของสายใยแก้วนำแสงที่แนะนำและมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำวิธีการทดสอบสายสัญญาณเวลาติดตั้งและค่าที่ใช้ในการทดสอบ รวมถึงการเดินสายซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบและระบบสายสัญญาณหลัก

11.3.2   เส้นทางการเชื่อมต่อ
            เส้นทางการเชื่อมต่อของระบบสายใยแก้วนำแสงคือระบบสายสัญญาณแบบพาสซีฟซึ่งรวมถึงสายสัญญาณ ขั้วต่อและจุดสไปซ์ (ถ้ามี) สำหรับการเชื่อมต่อแนวราบคือการเชื่อมต่อจากเต้ารบไปยังจุดต่อครอสแนวราบส่วนการเชื่อมต่อของระบบสายสัญญาณหลักจะมีการเชื่อมต่อสามแบบคือจากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลาง,จากจุดเชื่อมต่อหลักไปยังจุดต่อครอสแนวราบ และจุดต่อครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสแนวราบ นอกจากนี้ระบบสายใยแก้วนำแสงแบบรวมศูนย์เป็นการเชื่อมต่อจากเต้ารับไปยังจุดต่อครอสรวมศูนย์โดยจะมีการติดตั้งด้วยการสไปซ์หรือการติดตั้งสายตรงที่กระทำในห้องเชื่อมต่อระบบสายสัญญาณสื่อสารรูปที่ 17 จะแสดงการเชื่อมสายใยแก้วนำแสงสองเส้นเข้าด้วยกัน และรูปแบบการทดสอบสายใยแก้วนำแสงโดยใช้สายเชื่อมต่อในการเชื่อม


หมายเหตุ  :  1.  กำลังแสงที่มีอยู่ (optical power budget) ที่ระบุในมาตรฐานการใช้งาน เช่น FDDI, 10BASE-F และอื่่นๆ ได้รวมการสูญเสียทางแสงของขั้วต่อที่อินเตอร์เฟซบริภัณฑ์ไว้แล้ว
                    2.  ถ้าเส้นทางสื่อของระบบที่ต้องการสร้างจาก อนุกรม (concatenation) ของช่วงเส้นทางสื่อพาสซีฟสองช่วงหรือมากกว่า กล่าวคือ ชุดต่อสายเชื่อมไขว้ที่เชื่อมจุดต่อไขว้เข้าด้วยกัน การลดทอนสัญญาณที่คาดไว้สำหรับเส้นทางสื่อระบบ คือ ผลรวมของ การลดทอนสัญญาณของช่วงเส้นทางพาสซีฟที่ต่ออนุกรมกัน

11.3.3   ประสิทธิภาพของเส้นทางการเชื่อมต่อ
            ค่าพารามิเตอร์เดียวที่ใช้ในการทดสอบสำหรับสายใยแก้วนำแสงที่ติดตั้งแล้วคือค่า การลดทอนสัญญาณ สำหรับค่าแบนวิท (สำหรับมัลติโหมด) และค่าการจัดกระจายของแสง (สำหรับซิงเกิลโหมด) เป็นค่าที่สำคัญแต่เนื่องจากไม่มีผลในการติดตั้ง จึงควรจะตรวจสอบค่านี้จากผู้ผลิต การลดทอนสัญญาณสำหรับระบบสายสัญญาณแนวราบจะอยู่บนพื้นฐานของระยะทางสูงสุด 90 เมตร (295 ฟุต) ส่วนระบบสายสัญญาณหลักทั้งแบบซิงเกิลโหมดและมัลติโหมดจะเป็นไปตามสมการในข่อ 11.3.3.4 โดยจะแบ่งตามชนิดของสายใยแก้วนำแสง,ชนิดของสายสัญญาณ,ความยาวคลื่น,ระยะทางของช่องสัญญาณและจำนวนจุดสไปซ์ กราฟแสดงการลดทอนสัญญาณได้แสดงไว้ในรูปที่ 18 และ 19
            การลดทอนสัญญาณนอกจากจะปฎิบัติตามมาตรฐานนี้แล้วเพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ในการทดสอบยังควรจะปฎบัติตามวิธี "one reference jumper method" ตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และ ANSI/TIA/EIA-526-7 วิธีที่ A.1
            ในบางครั้งช่องสัญญาณสำหรับสายสัญญาณแบบมัลติโหมดมีขนาดสั้นและเกิดค่าการลดทอนที่มากกว่าที่คาดไว้อันเนื่องจากการสูญเสียกำลังไปกับโหมดที่มีกำลังสูงกว่า เพื่อเป็นการกำจัดการสูญเสียที่เกิดขึ้นดังกล่าวจึงควรจะพันสายย้ำรอบแกนกลมเกลี้ยงประมาณ 5 รอบก่อนทำการวัดโดยที่ตอนพันสายจะต้องไม่ให้สายทับซ้อนกัน ตารางที่ 16 จะบอกถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมเกลี้ยงที่ใช้กับขนาดแกนสายใยแก้วนำแสงแบบต่างๆ

ตารางที่ 16 เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลมสำหรับขนาดของแกนเส้นใยนำแสงหลายโหมด

ขนาดของแกนสายใยแก้ว
(ไมโครเมตร)
เส้นผ่านศูนย์กลางของแกนกลม
สำหรับเส้นใยบัฟเฟอร์
(มม.นิ้ว)
เส้นผ่านศูนย์กลางของแกน
กลม (0.12 นิ้ว)
สำหรับเคเบิลที่มีแจ็กเก็ตมิติ
รวมขนาด 3 มม. (นิ้ว)
50
25(1.0)
22(0.9)
62.5
20(0.8)
17(0.7)


            การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณจะรวมในส่วนของสายสัญญาณ, ขั้วต่อและจุดสไปซ์เท่านั้นไม่รวมอุปกรณ์พาสซีฟอื่นๆ เช่นสวิทซ์บายพาสแสง, คลัปเปอร์, อุปกรณ์ทวนสัญญาณหรือตัวขยายสัญญาณ เป็นต้น

11.3.3.1  การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณแนวราบ
              เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 90 เมตร (295 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการทดสอบสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA-526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 2.0 เดซิเบล ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสองด้วยคือ ที่บริเวณเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 90 เมตร (295 ฟุต)
              สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุออ่อนครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล

11.3.3.2  การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
               สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายเมื่อทำการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณระหว่างเต้ารับและจุดต่อครอสแนวราบจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.75 เดซิเบล ส่วนกลุ่มเต้ารับที่มีหลายเต้ารับอยู่ด้วยกันจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 2.0 เดซิเบล

11.3.3.2   การวัดประสิทธิภาพสายสัญญาณหลัก
               สำหรับระบบสายสัญญาณหลักจะต้องมีการทดสอบอย่างน้อยหนึ่งทิศทางและจะทำการทดสอบทั้งสองความยาวคลื่นที่ใช้งานจริงโดยที่ทดสอบ 1310 นาโนเมตรและ 1550 นาโนเมตรสำหรับสายซิงเกิลโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA-526-7  วิธีที่ A.1 และทดสอบที่ 850 นาโนเมตรและ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด ตาม ANSI/TIA/EIA -526-14-A  วิธีที่ B เนื่องด้วยสายสัญญาณหลักจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามพื้นที่ที่ทำการติดตั้ง ดังนั้นจะสามารถคิดค่าการลดทอนสัญญาณตามสมการที่ 16 ที่จะสามารถกำหนดได้ตามความยาวคลื่นที่ใช้งานจริง

11.3.3.3    การวัดประสิทธฺภาพสายสัญญาณแบบรวมศูนย์
                เนื่องด้วยระยะทางที่สั้นคือ 300 เมตร (984 ฟุต) สายใยแก้วนำแสงจะมีการทดสอบค่าการลดทอนสัญญาณเพียงหนึ่งความยาวคลื่นเท่านั้นคือ 850 นาโนเมตรหรือ 1300 นาโนเมตร การที่ใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะไม่มีผลต่อการลดทอนสัญญาณ โดยจะทดสอบไปในทิศทางเดียวตามมาตรฐาน ANSI/TIA/EIA- 526-14-A วิธีที่ B และผลการทดสอบการลดทอนสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3.3 เดซิเบล  ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับขั้วต่อทั้งสามคู่ด้วยคือที่บริเวณเต้ารับ, จุดติดตั้งสายตรงที่ห้องเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารและจุดต่อครอสแบบรวมศูนย์ และสายใยแก้วนำแสงที่ยาว 300 เมตร (984 ฟุต)
                สำหรับระบบสายสัญญาณของอาคารสำนักงานแบบเปิด ถ้าใช้เป็นจุดรวมสายจะต้องมีค่าการลดทอนสัญญาณรวมไม่เกิน 4.1 เดซิเบล

11.3.3.4    สมการและกราฟการลดทอนสัญญาณในช่องสัญญาณ
                 การลดทอนสัญญาณสามารถคำนวณได้จาก
                 การลดทอนสัญญาณของช่องสัญญาณ (เดซิเบล)
                 =      ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ   +
                         ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ        +
                         ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์

                ค่าการลดทอนสัญญาณของสายสัญญาณ (เดซิเบล)
                 =     สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล/กิโลเมตร) x ระยะทาง (กิโลเมตร)

                สัมประสิทธิ์การลดทอนสัญญาณ (เดซิเบล)
                3.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 850 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
                1.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1300 นาโนเมตร สำหรับสายมัลติโหมด
                0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
                0.5 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายนอกอาคาร
                1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1310 นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
                1.0 เดซิเบล/กิโลเมตร ที่ 1550นาโนเมตร สำหรับติดตั้งสายซิงเกิลโหมดภายในอาคาร
                ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของขั้วต่อ (เดซิเบล)
                =      จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ x ค่าสูญเสียของขั่วต่อ (เดซิเบล)
                ตัวอย่าง
                =      2 x 0.75 (เดซิเบล)
                =      1.5  (เดซิเบล)
               ค่าสูญเสียจากการสอดแทรกของจุดสไปซ์
                =      จำนวนจุดที่เชื่อมต่อด้วยการสไปซ์ (จุด) x ค่าสูยเสียของการสไปซ์ (เดซิเบล)
               ตัวอย่าง
                =      จุด x 0.3 (เดซิเบล)
                                     การลดทอน (dB) 

รูปที่ 18 :  การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อระบบสายสัญญาณหลัก 62.5/125  ไมครอนเมตร และ 50/125 ไมครอนเมตร เทียบตามระยะทาง


ตัวอย่าง  :  1.    ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่าง
                         กลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
                         สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2.6 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโน เมตร
                         และ 2.0 เดซิเบล  ที่ความยาวคลื่น 1300  นาโนเมตร
                  2.    ช่องสัญญาณแบบมัลติโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อ ครอสห
                         ลักยาว 2 กิโลเมตร (6560 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
                         สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
                         และ 4.5 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 1300 นาโนเมตร

รูปที่  19  :  การลดทอนสัญญาณเส้นทางสื่อของระบบสายสัญญาณหลักซิงเกิลโหมดเทียบตามระยะทาง


ตัวอย่าง  :  1.    ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสแนวราบไปยังจุดต่อครอสระหว่างกลางยาว 300 เมตร (984 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
                         สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.8 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
                         1300  นาโนเมตร
                  2.    ช่องสัญญาณแบบซิงเกิลโหมดที่เชื่อมต่อจากจุดครอสระหว่างกลางไปยังจุดต่อครอสห
                         ลักยาว 3000 เมตร (9840 ฟุต) โดยไม่มีจุดเชื่อมต่อใดๆ ผลการทดสอบการลดทอน
                         สัญญาณจะต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ  3.0 เดซิเบล ที่ความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร
                         และ 1300 นาโนเมตร












ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

10. ข้อกำหนดในการติดตั้งระบบสายสัญญาณภายหลังการติดตั้งคือสายสัญญาณ

10.1     ทั่วไป             สำหรับการติดตั้งนอกจากจะต้องดำเนินการตามมารตรฐานนี้แล้วยังต้องติดตั้งตามข้อกำหนดและระเบียบในการติดตั้งที่ถือปฎิบัติในแต่ละท้องที่อีกด้วย 10.1.1  การเดินสายสัญญาณแนวราบและสายสัญญาณหลัก             ควรจะเริ่มประเมินว่าจะติดตั้งสายสัญญาณได้ถูกต้องตามแบบที่ได้กำหนดไว้ และความเค้นในสายควรจะมีน้อยที่สุด (ความเค้นเกิดจากแรงดึงในการดึงและขึงสายสัญญาณ ในการติดดตั้งหรือการรัดสายเนื่องจากการมัดสาย) สายรัดสายสัญญาณที่ใช้รัดรวมสายสัญญาณควรจะรัดให้หลวมพอที่สายสัญญาณจะสามารถเลื่อนไปตามสายได้บ้าง ไม่ควรจะรัดจนสายเสียรูปไป (ต้องศึกษาข้อกำหนดการติดตั้งและกฎระเบียบก่อนการติดตั้ง) 10.2     สายตีเกลียว 100 โอห์ม (สายยูทีพี : สายตีเกลียวไม่มีชิลด์) หรือสายเอสซีทีพี  (สายตีเกลียวหุ้มฟอยล์) 10.2.1  รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุด             รัศมีความโค้งงอที่ต่ำที่สุดของสายสัญญาณจะขึ้นอยู่กับสภาพของสายสัญญาณขณะที่ทำการติดตั้งคือมีแรงดึงมากระทำกับสายสัญญ...

4. การติดต้้งระบบสายสัญญาณ

4.1       ทั่วไป             การติดตั้งสายสัญญาณแนวราบเป็นส่วนหนึ่งของการติดตั้งระบบสายสัญญาณที่ใช้ในการสื่่อสารคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม โดยเป็นการติดตั้งสายสัญญาณจากจุดรวมการสื่อสารไปยังเต้ารับ หรือขั้วต่อในพื้นที่ใช้งาน ซึ่งประกอบด้วยสายสัญญาณแนวราบ เต้ารับ การเชื่อมต่อสายเชือมต่อหรือสายต่อในจุดรวมการสื่อสาร และอาจจะถึงกลุ่มเต้ารับ หรือจุดศูนย์รวมเต้ารับก็ได้             (คำว่า "แนวราบ" ใช้กับสายสัญญาณที่เดินตามแนวราบหรือแนวนอนในขั้วหรือใต้ฝ้าของอาคาร)             การออกแบบการติดตั้งสายสัญญาณในแนวราบเทียบกับการใช้งานในระบบต่างๆ ดังนี้             ก) ระบบการสื่อสารทางโทรศัพท์             ข) อุปกรณ์ต่อเชื่อมระบบสลับสาย             ค) ระบบการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์             ง) ระบบแลน (Local area Network)             จ)...

การคำนวณค่า Loss ของ Fiber Optic

ตัวอย่าง : (คำนวณที่ wavelength 1300 nm ตามมาตรฐาน TIA/EIA-568-B.3   ติดตั้งสาย Multimode 50/125 ohm ยาว 500 เมตร มีจุดต่อแบบ Splice 1 จุด ต่อ และมีจุดต่อแบบ Adapter 2 จุดต่อที่ Patch Panel ให้คำนวณหาค่า Loss                                              Limit                        Q’TY                          Loss Fiber Loss                          1.5 dB/km           ...